วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เครือข่ายคอมพิวเตอร์

เครือข่ายคอมพิวเตอร์


ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์

การประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ในสมัยแรกมีจุดประสงค์ เพื่อจะให้คอมพิวเตอร์ทำงานบางอย่างแทนมนุษย์ เช่น การคำนวณเลข เพราะคอมพิวเตอร์สามารถคำนวณได้เร็วกว่า อีกทั้งยังมีความแม่นยำและมีความผิดพลาดน้อยกว่ามนุษย์ การทำงานนั้นถ้าจะให้มีประสิทธิภาพสูงจะต้องทำเป็นหมู่คณะ หรือทีมเวิร์ค (Teamwork) คอมพิวเตอร์ก็เช่นกันหากทำการเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย ก็ย่อมมีประสิทธิภาพมากกว่าการทำงานแบบเดี่ยว ๆ การทำงานเป็นกลุ่มของคอมพิวเตอร์นี้จะเรียกว่า “เครือข่าย” (Network)


ความหมายของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หรือจะเรียกสั้น ๆ ว่า ระบบเครือข่าย(Network) ประกอบไปด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่องที่สามารถติดต่อกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ การติดต่อจะผ่านทางช่องการสื่อสารต่าง ๆ เช่น สายโทรศัพท์ สายไฟฟ้า หรือผ่านทางสื่อแบบอื่น ๆ ได้แก่ โมเด็ม (Modem) ไมโครเวฟ (Microwave) สัญญาณอินฟราเรด (Infrared) เป็นต้น ซึ่งโดยทั่วไปจะหมายถึง การที่เรานำเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 2 เครื่องมาเชื่อมต่อกัน วัตถุประสงค์ที่ต้องต่อกันนี้ มักเกิดจากความต้องการที่จะใช้ทรัพยากรของระบบร่วมกัน เช่น ใช้เนื้อที่เก็บข้อมูลในดิสก์ร่วมกัน ใช้งานเครื่องพิมพ์เลเซอร์ที่มีอยู่เครื่องเดียวร่วมกัน ต้องการส่งข้อมูลให้กับบุคคลอื่นในระบบไปใช้งาน หรือต้องการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน เป็นต้น
ฉะนั้น ระบบเครือข่าย Network คือ ระบบที่นำเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC หรือ Personal Computer) แต่ละเครื่องมาต่อเชื่อมกันด้วยกลวิธีทางระบบคอมพิวเตอร์นั่นเอง

ติดตั้งเครือข่ายคอมพิวเตอร์


ติดตั้งเครือข่ายคอมพิวเตอร์





เราก็ได้ทราบไปแล้วว่าการจัดตั้งเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในหรือระหว่างองค์กรนั้นมีข้อดีอำนวยประโยชน์กับองค์กรอย่างไรบ้าง แต่ก่อนที่เราจะลงทุนจัดซื้ออุปกรณ์ติดตั้งระบบเครือข่าย เราจำเป็นต้องศึกษาถึงรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ เช่น การเลือกรูปแบบของเครือข่ายที่เหมาะสม การเลือกใช้อุปกรณ์ คาดการณ์การใช้งานในปัจจุบันและในอนาคตเป็นต้น

1. เลือกรูปแบบของเครือข่าย
เราต้องทำการศึกษาวางแผนก่อนว่าเราจะเลือกใช้รูปแบบเครือข่ายแบบใดจึงจะเหมาะสมที่สุดกับองค์กร เช่น เลือกใช้เครือข่ายแบบบัสสำหรับวงเครือข่าย LAN ภายในห้องหรือแผนกเดียวกัน เป็นต้น โดยที่เราต้องคำนึงถึงสถานที่ ความสะดวกในการร่วมใช้ทรัพยากรและข้อมูล ระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและการขยายขนาดของเครือข่ายประกอบด้วย

2. ต้องรองรับการทำงานทั้งหมดขององค์กรได้
ไม่ว่าเราจะเลือกใช้รูปแบบเครือข่ายแบบใดหรือผสมผสานเครือข่ายหลายรูปแบบให้กับองค์กร สิ่งสำคัญคือ เครือข่ายที่จัดตั้งขึ้นนี้ต้องสามารถตอบสนองการทำงานทั้งหมดขององค์กรได้อย่างครบวงจร เพราะไม่เช่นนั้นแล้วระบบเครือข่ายที่จัดตั้งขึ้นใหม่ก็จะไม่ช่วยให้เกิดสะดวกคล่องตัวและประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างแท้จริง

3. ใช้งานได้ง่าย
ไม่ว่าระบบเครือข่ายที่จัดตั้งจะมีเทคนิคที่ยุ่งยากซับซ้อนเพียงใดก็ตาม นั้นเป็นหน้าที่ของผู้ดูแลระบบ แต่สำหรับผู้ใช้งานแล้วเมื่อต้องการจะสื่อสารข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายต้องทำได้ง่าย (ตามสิทธิของแต่ละคน) โดยมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งเป็นเทคนิคหนึ่งที่จะให้บุคลากรยอมรับระบบงานใหม่ ดังนั้นโปรแกรมประยุกต์ที่ผู้ใช้ใช้ติดต่อสั่งงานกับระบบเครือข่ายจะต้องออกแบบมาให้สามารถทำงานได้สะดวกและง่ายต่อการใช้งาน

4. ข้อมูลปลอดภัย
การจัดระบบความปลอดภัยของข้อมูล เช่น การกำหนดสิทธิและขอบเขตในการเข้าถึงฐานข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคนนั้นเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง รวมถึงการป้องกันระบบจากผู้ที่ไม่หวังดีที่จะคิดทำลายหรือล้วงความลับจากข้อมูลขององค์กร ทั้งนี้รวมไปถึงระบบสำรองข้อมูลในกรณีที่ฐานข้อมูลหลักเสียหาย ใช้งานไม้ได้ เราสามารถใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลสำรองทำงานต่อไปได

5. การจัดการบริหารระบบเครือข่าย
การจะให้เครือข่ายทั้งระบบทำงานได้อย่างสมบูรณ์ราบรื่นตลอดเวลานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เราจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์คอยบริหารจัดการการใช้เครือข่าย และดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อยู่ตลอดเวลา

6. ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย
การจัดตั้งระบบเครือข่ายแน่นอนว่าต้องมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนระยะแรกสูง งบประมาณที่ใช้จึงต้องเหมาะสมกับฐานะขององค์กรและต้องคุ้มค่า นั่นคือ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมขององค์กรสูงขึ้นอย่างชัดเจน สามารถลดปริมาณงานที่ซับซ้อนได้ เพิ่มความสะดวกและประหยัดเวลาทำงาน ที่สำคัญคือต้องช่วยเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของงาน
นอกจากนี้ยังมีข้อพิจารณาปลีกย่อยอื่นๆ เช่น ความสามารถในการเชื่อมโยงกับเครือข่ายและองค์กรอื่นๆ ความยืดหยุ่นในการขยายเครือข่ายหรืออัพเกรดเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่าย การบำรุงรักษาเครือข่าย เป็นต้น

การติดตั้งเครือข่าย หัวสาย UTP


การทำสาย LAN เพื่อใช้ในการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย
วันนี้ก็ได้มีโอกาสได้เขียนในส่วนที่น่าจะเกี่ยวกับชื่อของเว็บไซต์ มากที่สุดในตอนนี้ ก็คือเรื่องเกี่ยวกับการเข้าสายสัญญาณในระบบเครือข่ายนั้นเอง (ปรารถนาสุดๆเลย)เพราะว่าหลายๆ คนที่ผมได้เคยรู้จักมานั้นมองเรื่องเกี่ยวกับการทำระบบหรือการติดตั้งเครือข่ายเป็นเรื่องที่ยากมากอาจจะว่ากันว่าเป็นเรื่องของช่างเฉพาะทางเพียงอย่าง เดียวเลยก็ว่าได้ แต่สำหรับความคิดเห็นของผมแล้วถ้าหากว่าเรามีอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะเป็นจะต้องใช้พร้อมแล้วก็ไม่น่าที่จะมีปัญหาในการทำสายสัญญาณ เพื่อใช้เองในบ้านหรือในสำนักงานขนาดเล็กก็ได้นะวิธีการก็ไม่มีอะไรมากอย่างแรกเลยก็จัดเตรียมเรื่องของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะต้องใช้ให้ครบถ้วนก่อนจะได้ไม่ต้องวิ่งหาตอนติดตั้ง โดยอุปกรณ์โดยทั่วไปก็มี สายสัญญาณหรือ UTP Cable หรือที่บ้านเราเรียกกันว่าสาย LAN แล้วก็หัว RJ-45 (Male), Modular Plug boots หรือตัวครอบสาย หากว่ามี Wry Marker แล้วก็จะมีเหมือนกันเพราะว่าจะช่วยในการทำให้เราจำสายสัญาณได้ว่าปลายด้านไหนเป็นด้านไหน ซึ่งโดยส่วนมากแล้วก็จะเป็นหมายเลข ไว้ใส่ในส่วนปลายทั้งสองด้านเพื่อให้ง่ายในการตรวจสอบระบบสายสัญญาณ คีมแค้มสายสัญญาณ หรือ Crimping Tool, มีดปอกสาย หรือ Cutter
เอาละมาว่ากันเลยดีกว่าก่อนอื่นก็หยิบมีดหรือ Cutter อันเล็ก ๆ มาอันหนึ่งแล้วก็เล็งไปที่นิ้วจากนั้นก็ตัดนิ้วทิ้งไปซะ แล้วค่อยเอาหัว RJ มาต่อกับนิ้วแทน เท่านี้คุณก็สามารถเชื่อมต่อตัวคุณเองเข้าสู่ระบบเครือข่ายด้วยความไวสูงสุดถึง 100 มิลลิลิตรต่อนาที บางทีอาจจะเป็น Full Duplex Mode อีกต่างหาก ล้อเล่น ๆ เอาละนะใช้มีดปอกสายสัญญาณที่เป็นฉนวนหุ้มด้านนอกออกให้เหลือแต่ สายบิดเกลียวที่อยู่ด้านใน 8 เส้นแล้วก็จะเห็นด้ายสีขาว ๆ อยู่ให้ตัดทิ้งได้ โดยการปอกสายสัญญาณนั้นให้ปอกออกไว้ยาว ๆ หน่อยก็ได้ประมาณสัก 1 เซ็นครึ่งก็น่าจะได้นะตามตัวอย่างดังรูปข้างล่างนี้
จากนั้นก็ให้ใส่ Modular Plug boots เข้ากับสาย UTP ด้านที่กำลังจะต่อกับหัว RJ-45 ไว้ก่อนเลยดังรูปข้างล่างนี้
รูปแสดงคีมหรือ Crimping Tool ที่จะใช้ในการแค้มหัว อันนี้เป็นของยี่ห้อ Amp ราคาในตลาดก็คงประมาณ 5,000-6,000 บาทมั้งแต่ถ้าไม่ได้ใช้เยอะก็แนะนำให้เดินซื้อแถวพันทิพย์ หรือ ศูนย์คอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ทุกมุมในปัจจุบันนี้ ถ้าเอาแบบพอใช้ได้ราคาก็ประมาณ 400-800 บาท คุณภาพก็พอใช้ได้นะ ผมก็เคยซื้อมาใช้หลายอันแล้ว แต่ของ Amp นี้ค่อนข้างน่าใช้และชัวร์กว่าเยอะในการเข้าสาย แต่ราคานี่สิผมว่ามันไม่ค่อยจะน่าสนเท่าไหร่ ถ้าเราไม่มีอาชีพในการทำงานด้านนี้เฉพาะหรือ ต้องมีการเดินระบบสายสัญญาณบ่อย ๆ
รูปของคีมหรือ Crimping Tool ด้านหน้าที่จะใช้แค้มสาย
หลังจากที่ปอกสายเสร็จแล้วก็ให้ทำการแยกสายทั้ง 4 คู่ที่บิดกันอยู่ออกเป็นคู่ ๆ ก่อนโดยที่ให้แยกคู่ต่าง ๆ ตามลำดับต่อไปนี้
ส้ม-ขาวส้ม ---> เขียว-ขาวเขียว ---> น้ำเงิน-ขาวน้ำเงิน ---> น้ำตาล-ขาวน้ำตาล
เพื่อแบ่งสายออกเป็นหมวดหมู่ใหญ่ ๆ ก่อน จากนั้นจึงค่อยมาทำการแยกแต่ละคู่ออกมาเป็นเส้น โดยให้ไล่สีดังนี้
ขาวส้ม ---> ส้ม ---> ขาวเขียว ---> น้ำเงิน ---> ขาวน้ำเงิน ---> เขียว ---> ขาวน้ำตาล ---> น้ำตาล
ซึ่งสีที่ไล่นี้เป็นสีที่ใช้เป็นมาตรฐานในการเชื่อมต่อ ซึ่งจริง ๆ แล้วการเข้าสายมีมาตรฐานการไล่สีอยู่หลัก ๆ ก็ 2 แบบแต่ในที่นี้ผมเอาแบบนี้แล้วกันเพราะว่าส่วนมากแล้วเขาจะใช้วิธีการไล่สีแบบนี้ หลังจากจัดเรียงสีต่าง ๆ ได้แล้วก็ให้จัดสายให้เป็นระเบียบ ให้พยายามจัดให้สายแต่ละเส้นชิด ๆ กัน ดังรูป
หลังจากนั้นให้ใช้คีมตัดสายสัญญาณที่เรียงกันอยู่นี้ให้มีระบบปลายสายที่เท่ากันทุกเส้น โดยให้เหลือปลายสายยาวออกมาพอสมควร จากนั้นก็ให้เสียบเข้าไปในหัว RJ-45 ที่เตรียมมา โดยให้หันหัว RJ-45 ดังรูปจากนั้นค่อย ๆ ยัดสายที่ตัดแล้วเข้าไป โดยพยายามยัดปลายของสาย UTP เข้าไปให้สุดจนชนปลายของช่องว่าในหัว RJ-45 เลย
จุดสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการเชื่อมต่อสายสัญญาณในช่วงนี้ก็คือต้องยัดฉนวนหุ้มที่หุ้มสาย UTP นี้เข้าไปในหัว RJ-45 ด้วย โดยพยายามยัดเข้าไปให้ได้ลึกที่สุดแล้วกัน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการหักงอของสายง่าย โดยให้ยัดเข้าไปให้ได้ดังรูปข้างล่างนี้
แล้วก็นำเข้าไปใส่ในช่องที่เป็นช่องแค้มหัวของ RJ-45 ในคีมที่จะใช้แค้มหัว หรือ Crimping Tool ให้ลงล็อกของคีมพอดี จากนั้นก็ให้ทำการกดย้ำสายให้แน่น เพื่อให้ Pin ทีอยู่ในหัว RJ-45 นั้นสัมผัสกับสายทองแดงที่ใส่เข้าไป บรรจงนิดหนึ่งนะครับในช่วงนี้ เพราะว่าเป็นช่วงหัวเลียวหัวต่อของชีวิตสายสัญญาณของคุณเลยแหละ เท่าที่ประสบการในการเข้าสายสัญญาณของผม ถ้าเป็นไอ้เจ้า Amp นี่ก็ไม่ต้องออกแรงมากเท่าไหร่ก็ OK ได้เลย แต่ถ้าเป็นแบบของทั่ว ๆ ไปก็คงต้องออกแรงกดกันนิดหนึ่งแล้วกัน
อ้า...ท้ายที่สุดก็จะได้ปลายสัญญาณของระบบที่คุณต้องการดังกล่าวดังรูป ที่นี้ก็ไปทำอย่างที่ว่ามานี้อีกครั้งหนึ่งที่ปลายสายอีกด้านหนึ่ง แต่อย่าหลงเข้าใจผิดว่านี่เป็นสาย Cross นะ เพราะว่าสาย Cross นั้นคุณต้องทำการสลับสายสัญญาณที่เข้านี้ ลองไปดูหัวข้อ Tip of the Day นะผมแนะนำการเข้าสาย Cross ไว้ที่นั่นแล้ว เพราะว่าการเข้าสายทั้งสองแบบนี้การไล่สีของสายไม่เหมือนกัน แตกต่างกันนิดหน่อย ส่วนสาย Cross เราสามารถนำเอาไปเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องให้เป็นระบบเครือข่ายได้โดยที่ไม่ต้องใช้ HUB ได้เลย แต่ได้แค่ 2 เครื่องเท่านั้น ส่วนสายแบบที่ต่อตรง ๆ นั้นจะใช้เชื่อมต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์มายัง HUB

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ว่านหางจระเข้ (พืชสมุนไพร)

e0b8a0e0b8b2e0b89ee0b8a7e0b988e0b8b2e0b899e0b8abe0b8b2e0b887e0b888e0b8a3e0b8b0e0b980e0b882e0b989

ชื่ออื่นใช้เรียก : ว่านไฟไหม้ , ว่านตะเข้

ลักษณะ : ว่านหางจระเข้ เป็นพืชล้มลุก พื้นเมืองของทวีปอัฟริกา ลำต้นสั้น มีเนื้ออวบอิ่ม ใบหนารูปยาวปลายแหลม ริบใบหยัก และมีหนาม ผิวใบสีเขียวใส และมีรอยกระสีขาว ภายในมีวุ้นและเมือกมาก ออกดอกช่วงฤดูหนาว จากกลางลำต้นเป็นช่อสีแดงกลีบดอก 6 กลีบ ยาว 2-5 เซนติเมตร กลีบดอก 3 กลีบ สีส้ม-แดง กลีบใน 3 กลีบ สีเหลือง

สรรพคุณ : รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลไหม้จากแสงแดด หรือแผลเรื้อรัง ต่างๆ และรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

สรรพคุณทางยา : ตำรายาไทยใช้น้ำยางสีเหลืองจากใบเคี่ยวให้แห้ง เรียกว่ายาดำใช้เป็นยาระบาย วุ้นสดจากใบใช้รักษาแผลที่เกิดจากไฟไหม้แผลจากความเย็น (Frost bite) และแผลที่ถูกแมลงกัดต่อย และจากไฟไหม้ที่เนื้อเยื่อผิวหนังถูกทำลายไป เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ปิดตรงบริเวณแผลจะช่วยให้รู้สึกเย็น และช่วยกระตุ้นการเกิดใหม่บริเวณแผล ป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน และยังป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นอีกด้วย ว่านหางจระเข้ยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียและไวรัส มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค และทำลายพิษที่เชื้อโรคขับออกมาได้ด้วย วุ้นจากว่านหางจระเข้ใช้รับประทานเพื่อช่วยรักษา และสมานแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ส่วนต้น นอกจากนี้ยังใช้วุ้นของว่านหางจระเข้ เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง อาทิเช่น แชมพู เพราะช่วยบำรุงเส้นผม หรือผสมในครีมกันแดด และครีมบำรุงผิวได้ด้วย
ควรเลือกใบต่ำสุดจากต้นว่านหางจระเข้ นำมาล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกสีเขียวออก โดยผ่านตามยาว นำเมือกวุ้นได้ที่ได้มาล้างน้ำจนหมดยางสีเหลือง ฝานวุ้นเป็นแผ่นบางๆ ใช้ปิดแผล พันทับด้วยผ้าพันแผลสะอาด เปลี่ยนวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น จนกว่าแผลจะหาย
การรับประทานเพื่อรักษาแผลในกระเพาะอาหารมี 2 วิธี
-รับประทานวุ้นสด ในผู้ใหญ่ 15 กรัม/วัน เด็กลดลงตามส่วนประมาณ 1/3 ของผู้ใหญ่
-รับประทานน้ำวุ้นหางจระเข้ ในผู้ใหญ่ 2 ช้อนโต๊ะเช้าเย็น เด็กรับประทาน 1/2 ของผู้ใหญ่

ข้อควรระวัง :
1. เมื่อใช้เป็นยาทา ให้ระวังยางของว่านหางจระเข้ เพราะมีฤทธิ์ระคายเคือง บางคนอาจแพ้จะรู้สึกคันมาก ดังนั้นต้องล้างให้หมดยาง ทดสอบได้ด้วยการชิม วุ้นดู ถ้ามีรสขมแสดงว่ายังมียางอยู่ ควรล้างให้หมดรสขม
2. เมื่อใช้เป็นยากิน ต้องระวังยางเช่นกัน เพราะอาจทำให้ท้องเสียและปวดท้องได้
3. กรณีผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน การดื่มน้ำว่านหางจระเข้จะทำให้ตับอ่อนสร้างอินซูลินมากขึ้น ดังนั้นต้องระวังในผู้ที่ใช้อินซูลินรักษาเบาหวานอยู่ อาจมีอันตรายทำให้หมดสติได้

ไม้มงคลต้นขนุน

ไม้มงคล - ต้นขนุน

ขนุน

ชื่อวิทยาศาสตร์ Artocarpus heterophyllus Lamk.
ชื่อวงศ์ MORACEAE
ชื่อสามัญ Jack Fruit Tree
ชื่อท้องถิ่น
  • ภาคเหนือ-ใต้ เรียก ขะหนุน
  • ภาคอีสาน เรียก หมักหมี้, บักมี่
  • จันทบุรี เรียก ขะนู
  • มลายู-ปัตตานี เรียก นากอ
  • ชาวบน-นครราชสีมา เรียก โนน
  • เขมร เรียก ขนุน, ขะเนอ
ลักษณะ
  • ไม้ต้น ขนาดใหญ่ สูง 15 - 30 เมตร ลำต้นและกิ่งเมื่อมีบาดแผลจะมีน้ำยางสีขาวข้นคล้ายน้ำนมไหล
  • ใบ เป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ แผ่นใบรูปรี ขนาดกว้าง 5-8 เซนติเมตร ยาว 10 - 15 เซนติเมตร ปลายใบทู่ ถึงแหลม โคนใบมน ผิวในด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบหนาผิวใบด้านล่างจะสากมือ
  • ดอก เป็นช่อแบบช่อเชิงสดแยกเพศอยู่รวมกัน ดอกเพศผู้เรียกว่า "ส่า" มักออกตามปลายกิ่ง ดอกเพศเมียจะออกตามกิ่งใหญ่และตามลำต้นยอดเกสรเพศเมีย เป็นหนามแหลม ส่วนของเนื้อที่รับประทานเจริญมาจากกลีบดอก ส่วนซังคือกลีบเลี้ยง จะออกดอกปีละ 2 ครั้ง คือ ช่วงเดือนธันวาคม - มกราคม และเมษายน - พฤษภาคม
  • ผล เป็นผลรวมมีขนาดใหญ่
  • ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด ติดตา และทาบกิ่ง
สรรพคุณทางยา
  • ใบ รสฝาดมันรักษาหนองเรื้อรัง และใบสดนำมาตำให้ละเอียดอุ่นพอกแผล
  • ราก รสหวานอมขม แก้ท้องร่วง แก้ไข้ แก้ธาตุน้ำกำเริบ โลหิตพิการ ฝาดสมานบำรุงกำลัง และบำรุงโลหิต แก่นและราก รสหวานอมขม บำรุงโลหิต แก้กามโรค ขับพยาธิ ระงับประสาท และแก้โรคลมชัก
  • ยาง รสจืด ฝาดเฝื่อน แก้อักเสบบวม แผลมีหนองเรื้อรัง แก้ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ขับพยาธิ และขับน้ำนม
  • เนื้อหุ้มเมล็ด รสหวานมันหอม บำรุงกำลัง และชูหัวใจให้ชุ่มชื่น
  • เนื้อในเมล็ด รสหวานมัน บำรุงน้ำนม ขับน้ำนม และบำรุงกำลัง
ประโยชน์
  • ผลอ่อน ใช้ปรุงอาหาร ผลสุกเยื่อหุ้มเมล็ดมีรสหวาน เมล็ดปรุงอาหาร
  • เนื้อไม้ ใช้ทำพื้นเรือนและสิ่งก่อสร้าง ครก สากกระเดื่อง หวี โทน รำมะนา ระนาด
  • รากและแก่น ให้สีเหลือง ถึงเหลืองอมน้ำตาล ใช้ย้อมผ้าและแพรไหม
  • ราก นำมาปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้ไข้
  • ใบ เผาไฟกับซังข้าวโพดให้ดำเป็นถ่าน แล้วใส่รวมกับก้นกะลามะพร้าวขูด โรยรักษาบาดแผล
คติความเชื่อ
&n bsp; ขนุนนับได้ว่าเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งของคนไทย กำหนดปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ (หรดี) ตามโบราณเชื่อกันว่า การปลูกต้นขนุนในบริเวณบ้านจะหนุนเนื่อง บุญบารมี เงินทอง จะมีคนเกื้อหนุน และอุดหนุนจุนเจือ นอกจากนี้ชาวเหนือใช้ใบขนุนร่วมกับใบพุทรา ใบพิกุล นำมาซ้อนกันแล้วนำไปไว้ใน ยุ้งข้าวตอนเอาข้าวขึ้นยุ้งใหม่ๆ เชื่อกันว่าจะทำให้หนุนนำและส่งผลให้มีข้าวกินตลอดปีและตลอดไป

ไข่ตุ๋นปูอัด

ไข่ตุ๋นปูอัด
ใครที่มีเด็กอยู่ในบ้าน อาจจะเคยพบกับปัญหานี้
เด็กเบื่ออาหาร อะไรอะไร ก็ไม่อร่อย
ถ้าใช่ เราขอแนะนำ เมนูอาหารสำหรับเด็ก
ไข่ตุ๋นปูอัด
ทำง่าย แต่อร่อยล้ำ
ก็ ลองเอาไปทำทานกันดูนะ




เครื่องปรุง

1. ไข่ไก่(เบอร์ 1) 3 ฟอง
2. น้ำเปล่า
3. ปูอัด 3-4 แท่ง(หั่นแทยง)
4. แครอทหั่นลูกเต๋าเล็ก 2 ช้อนโต๊ะ
หั่นแท่งเล็กน้อย

5. ต้นหอมซอย เล็กน้อย
6. ซิอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
7. ซอสปรุงรส 2 ช้อนชา
8. น้ำปลา 1/2 ช้อนโต๊ะ

1. ใส่น้ำในลังถึง จากนั้นนำลังถึงตั้งไฟ ระหว่างรอน้ำเดือด ตอกไข่ใส่ชาม ใช้ซ่อมตีไข่ให้ไข่แดงและไข่ขาวเข้ากัน ปรุงรสด้วย ซิอิ๊วขาว ซอสปรุงรส และน้ำปลา จากนั้นค่อยๆ เติมน้ำเปล่าลงไป คนให้เข้ากัน ใส่ปูอัดและแครอท ที่หั่นเตรียมไว้ส่วนหนึ่งลงในชาม แบ่งไว้ส่วนหนึ่ง เอาไว้แต่งหน้า จากภาพจะเห็นแครอทลอยอยู่บนไข่ ส่วนปูอัดจะจมอยู่ด้านล่างค่ะ

2. พอน้ำเดือด นำชามไข่ที่เตรียมไว้ ใส่ในลังถึงปิดฝา ใช้ไฟปานกลาง นึ่งประมาณ 20 นาที เมื่อไข่สุกจะได้ไข่ตุ๋นหน้าตาประมาณในภาพ ถึงขั้นตอนนี้อาจจะยังไม่ต้องให้ไข่สุก ทั้ง 100 % ก็ได้ค่ะ เพราะเดี๋ยวต้องแต่งหน้าแล้วนึ่งต่ออีก เอาเป็นว่าให้เกือบสุกก็แล้วกัน

เวลา ที่ใช้ในการนึ่งจะไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับไข่ว่าเป็นไข่ที่ออกจากตู้เย็นหรือเปล่า และไฟที่ใช้บางทีอาจจะไม่เท่ากัน แต่ที่สำคัญ เวลาใส่ชามไข่ในลังถึง ต้องรอให้น้ำเดือดก่อนค่ะ

3. แต่งหน้าไข่ตุ๋นด้วย ปูอัด โรยแครอทแบบแท่ง ต้นหอมหั่นฝอย จากนั้นปิดฝาลังถึง นึ่งต่อประมาณ 2-3 นาที ให้ปูอัดและผักสุก ยกเสิร์พ ทานร้อนๆ อร่อยมากขอบอก

วิธีทดสอบว่าไข่ สุกแล้วหรือยัง ให้ใช้ช้อนหรือซ่อมแทงลงไปที่เนื้อไข่ จิ้มลงไปเบาๆ ก็พอนะคะ ไม่ใช่กวนไข่ ถ้าไข่สุกเนื้อไข่จะเกาะกันดี หากเป็นน้ำสีไข่ดิบไหลขึ้นมา ก็แสดงว่าอาจจะยังสุกไม่ทั่วดี ปิดฝานึ่งต่ออีกหน่อยค่